วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ความจริงของชีวิต

หลักความเป็นจริงของชีวิตในโลกใบนี้




ความจริงของชีวิตคือสภาพความเป็นจริงตามธรรมชาติ  หรือกฎของ ธรรมชาติ ที่ทุกคนต้องประสบ ไม่มีทางหลีกหนีได้ การศึกษาความจริงของชีวิต ช่วยให้เรารู้เท่าทัน เข้าใจ และยอมรับความจริง สามารถอยู่กับความจริงได้อย่าง ปกติสุข และช่วยให้ปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง รวมทั้ง นำความรู้จาก ความจริงของชีวิต มาสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตได้
ความจริงของชีวิตตามหลักพุทธธรรม ได้แก่ ไตรลักษณ์ คือ ลักษณะพื้น ๆ ทั่วไปที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง 3 ประการ คือ ความไม่เที่ยง ความทุกข์ และความไม่มีตัวตน ส่วนอริยสัจ คือความจริงที่ไม่คลาดเคลื่อน เป็นความจริง ของพระอริยบุคคลเท่านั้น มี 4 ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ซึ่งสามารถนำไปแก้ปัญหาในชีวิตของทุกคนทุกเรื่องได้ตลอดกาล
ความจริงของชีวิตตามคติธรรมดาของโลก คือ สิ่งที่เป็นธรรมดาของโลก ที่ทุกคนต้องประสบ ได้แก่ โลกธรรม 8 ประการ เช่น ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ  เสื่อมยศ เป็นต้น และสูตรชีวิต ที่ทุกคนควรพิจารณาอยู่เสมอ  ๆ คือ เรามีความแก่ ความเจ็บ ความตาย และการพลัดพราก เป็นธรรมดา ไม่มีใคร ล่วงพ้นไปได้ และเรามีกรรมเป็นของตน ใครทำกรรมใดไว้ จะต้องได้รับผลกรรม นั้นเสมอ 



วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

“ฝันร้าย”เกิดจากอะไร พร้อมวิธีรับมือกับฝันร้าย

“ฝันร้าย”เกิดจากอะไร พร้อมวิธีรับมือกับฝันร้าย

นิยามของฝันร้าย 
ฝันร้ายนั้นดูเหมือนจะเป็นความฝันที่เหมือนกับความจริง ที่ทำให้คุณรู้สึกกลัวและทำให้คุณตื่นจากการนอนที่หลับลึกของคุณ นอกจากนั้นมันมักจะทำให้หัวใจเต้นแรงจากความกลัว ฝันร้ายมักจะเกิดบ่อยที่สุดในช่วงการหลับที่มีการเคลื่อนไหวของลูกตาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นช่วงที่ความฝันส่วนมากเกิดขึ้น และมีการพบว่าฝันร้ายมักเกิดบ่อยในช่วงชั่วโมงเช้ามืด 


สาเหตุของอาการฝันร้าย 
1. ยารักษาโรคบางอย่างออกฤทธิ์กับสารเคมีในสมองทำให้ฝันร้ายได้ อย่างเช่น ยาต้านอาการซึมเศร้า และยาเสพติดมักมีความสัมพันธ์กับฝันร้าย ส่วนยาที่ไม่ได้รักษาโรคทางจิตประสาท เช่นยาลดความดันโลหิตบางชนิด ก็ทำให้เกิดฝันร้ายในผู้ใหญ่ได้เช่นกัน 
2. การหยุดใช้ยาหรือยาเสพติด รวมไปถึงการหยุดแอลกอฮอล์ และยากล่อมประสาทพวกนี้ก็อาจจะไปกระตุ้นให้ฝันร้ายได้ หากคุณสังเกตได้ถึงความแตกต่างของความถี่ของการเกิดฝันร้ายหลังเปลี่ยนยา ให้ปรึกษาแพทย์ 
3. การนอนหลับที่ไม่เพียงพอก็อาจทำให้ฝันร้ายได้เช่นกัน แม้จะเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่มีการยืนยันอย่างแน่ชัดว่า วงจรอย่างนี้จะทำให้ฝันร้ายอย่างผิดปกติเกิดขึ้นได้หรือไม่ 
4. ความเครียด วิตกกังวลและอาการซึมเศร้า ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (Post-traumatic stress disorder-PTSD) มักเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยฝันร้ายอยู่ซ้ำซาก 
5. เกิดจากความผิดปกติในการนอนหลับ เช่น การหยุดหายใจเป็นพัก ๆ ระหว่างนอนหลับและอาการขาอยู่ไม่ หากยังไม่สามารถหาสาเหตุได้ การฝันร้ายเรื้อรังอาจเกิดจากความผิดปกติในการนอนหลับนี่เองแหละครับ


ฝันร้ายอันตรายต่อสุขภาพอย่างไร 
ฝันร้ายนั้นมีผลต่อสุขภาพในเรื่องของผู้ที่มีปัญหานอนฝันร้ายนั้น ผู้ที่มีอาการวิตกกังวล หรือซึมเศร้า มีแนวโน้มมากที่มีความเครียดอันเกิดจากประสบการณ์และทนทุกข์กับความป่วยทางจิตมากกว่า แต่มันก็อาจจะไปสัมพันธ์กับการฆ่าตัวตายได้ เนื่องจากฝันร้ายอาจมีผลกระทบกับคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก จึงสำคัญที่จะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากคุณฝันร้ายอยู่เป็นประจำ 

การรักษาการฝันร้ายในเคสผู้ใหญ่ เพราะเด็กฝันร้ายนั้นเป็นเรื่องปกติ 
1. หากคุณฝันร้ายเพราะ ยาก็อาจเปลี่ยนปริมาณที่ใช้ หรือเปลี่ยนยาเพื่อกำจัดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ 
2. ฝันร้ายเพราะการหยุดหายใจเป็นพัก ๆ หรืออาการขาอยู่ไม่สุข การรักษาอาการเหล่านี้อาจช่วยให้ดีขึ้นได้ 
3. หากฝันร้ายไม่เกี่ยวกับการป่วยหรือการใช้ยา อย่าเพิ่งหมดหวังครับ ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลถึง 70% ของผู้ที่ฝันร้าย รวมไปถึงผู้ที่มีอาการวิตกกังวล, ซึมเศร้า และความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ 
4. การฝึกจินตนาการ เป็นการบำบัดทางพฤติกรรมที่ดีอย่างหนึ่งสำหรับการฝันร้าย เทคนิคก็คือ ฝึกความคิดที่อยากจะหลุดออกมาจากสิ่งนั้นในขณะที่เรายังตื่น บางครั้งอาจมีการใช้ยาเข้าร่วมเพื่อรักษาอาการฝันร้ายในลักษณะนี้ แต่ผลที่ได้ก็ยังไม่เห็นได้ชัดเท่ากับการฝึกจินตนาการ
ไม่ว่าคุณจะมีเรื่องกังวลใจ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้คุณฝันร้ายและตื่นขึ้นมากลางดึก งานวิจัยบอกแล้วว่า มันอาจจะเป็นผลดีต่อตัวคุณเอง เพราะสิ่งที่คุณกังวลเหล่านั้นถูกสมองเปลี่ยนเป็นเรื่องราวที่จับต้องได้ และออกมาในรูปของความฝัน
และเมื่อคุณตื่นมาเพราะฝันร้ายนั้น คุณจะรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นเรื่องจริง แม้ว่าเรื่องราวในความฝันนั้นจะไม่เหมือนจริงเลยก็ตาม ความทรงจำเหล่านั้นกลับง่ายต่อการจัดการทางจิตใจมากกว่า อย่างเช่นคุณจะสามารถรู้ได้ว่าคุณกลัวหรือกังวลเรื่องอะไรในอดีต และคุณจะสามารถหาทางจัดการรับมือกับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร
ฉะนั้น ถ้าคุณฝันร้าย จงอย่ากลัวที่จะเข้านอน มันจะช่วยให้คุณรับรู้และสามารถจัดการกับความกลัวลึกๆนั้นได้
นอกจากนี้การไม่ยอมพักผ่อนยังส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตโดยตรงอีกด้วย

นักวิทยาศาสตร์ทำนายอนาคตโลก ในปี 2030 จะเกิด"ยุคน้ำแข็ง"

นักวิทยาศาสตร์ทำนายอนาคตโลก ในปี 2030 จะเกิด"ยุคน้ำแข็ง"

โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษา และค้นพบวิธีการทำนายรอบดวงอาทิตย์ว่า ในปี 2020 - 2030 อาจเกิดปรากฎการณ์ "Maunder Minimum" ซึ่งเคยเกิดมาแล้วในปี 1646 - 1715 หรือที่เรียกว่า "ยุคน้ำแข็งขนาดเล็ก" ซึ่งจะส่งผลให้แม่น้ำเทมส์ในกรุงลอนดอนกลายเป็นน้ำแข็งได้หมดเลยทีเดียว
ซึ่งในการศึกษานั้นนักวิทยาศาตร์ได้ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่เป็นเครื่องวัดส่องและวัดค่าคลื่นสองคลื่นด้วยกัน จากนั้นก็นำมาข้อมูลคลื่นมาวิเคราะห์ รวมถึงเทียบรอบกับดวงอาทิตย์ในปัจจุบัน จึงทำให้สามารถทำนายอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้แม่นยำถึง 97% เลยทีเดียว
โดยมีการทำนายว่าในรอบ 11 ปีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบนดวงอาทิตย์ขึ้น และในรอบที่ 25 ของรอบดวงอาทิตย์ (ปี 2030 - 2040) คลื่นสองคลื่นจะช่วยลดปัญหาที่เกิดจากภาวะโลกร้อนได้หมด
ซึ่งถ้าคำทำนายเป็นจริงและเกิด "ยุคน้ำแข็งขนาดเล็ก" ขึ้นจริง โลกทั้งใบจะมีสภาพอากาศหนาวเย็นมาก และอาจจะเกิดวันสิ้นโลกได้เลยเหมือนกับ The Day After Tomorrow และนี่คือคลิปจาก NASA ที่แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของรอบพระอาทิตย์ในรอบ 11 ปีที่ทำให้ผลการศึกษานี้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

6 วิธี ขจัดความกังวลในการทำงานตอนเช้า

6 วิธี ขจัดความกังวลในการทำงานตอนเช้า

เช้าวันจันทร์แบบนี้ มนุษย์ทำงานอย่างเราๆ คงรู้สึกไม่พร้อมที่จะตื่นมาทำงาน หลายคนเกิดความวิตกกังวลใน หลายๆ เรื่องรวมไปถึงเรื่องงานที่ต้องเผชิญอีกด้วย
การ จัดการกับความกังวลในตอนเช้าไม่ใช่เรื่องง่ายของใครหลายๆ คน แต่ช้าก่อน! มีผลวิจัยออกมาและพบวิธีที่จะบรรเทาความวิตกกังวลโดยวิธีธรรมชาติ ถ้าคุณปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้เชื่อได้เลยว่าความวิตกกังวลในตอนเช้าของ คุณจะลดลงอย่างแน่นอน...

1. ตื่นเช้ากันเถอะ
มี ผลวิจัยออกมาว่า การตื่นแต่เช้าจะทำให้ชีวิตโดยรวมของคุณดีขึ้น คนที่มีนิสัยนอนเยอะ นอนหลับมากกว่า 9 ชั่วโมงต่อคืน มีแนวโน้มที่จะมีความวิตกกังวล เป็นโรคซึมเศร้า เกิดโรคอ้วนและปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกมากมาย แต่ถ้าคุณนอนหลับไม่เพียงพอก็จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอีกเช่นกัน ดังนั้นคุณควรนอนแต่พอดี นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมงในแต่ละคืน ข้อดีของการตื่นเช้ามีเยอะแยะมากมาย คนที่ตื่นเช้าเป็นประจำ จะมีสมองที่พร้อมประมวลข้อมูลอย่างเต็มที่มากกว่า ทำให้คุณภาพของงานที่คุณได้รับมอบหมายดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คุณจะสามารถแก้ไขปัญหาที่พบเจอในการทำงานได้

2. ออกกำลังกายตอนเช้า
หลาย คนกลัวที่จะออกกำลังกายในตอนเช้า แต่คุณรู้หรือไม่ว่ามันเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการ บรรเทาความวิตกกังวลในตอนเช้าของคุณ การออกกำลังกายในตอนเช้าสามารถทำให้อารมณ์ สุขภาพและ พลังงานของคุณดีขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องวิ่งหรือไปออกกำลังกายในสวนสาธารณะตอนเช้า แค่เพียงคุณ ออกกำลังกายง่ายๆ ภายในบ้านหรือที่พักของตัวเอง เช่น การกระโดดเชือก ซิตอัพ หรือโยคะ ก็จะทำให้เกิดการ กระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ทำให้คุณผ่อนคลาย ช่วยลดความรู้สึกวิตกกังวลลงได้ และทำให้คุณมี ความสุขได้อย่างแน่นอน

3. ทานอาหารเช้าที่ดี
หลาย คนคงจะรู้อยู่แล้วว่า อาหารมื้อเช้าสำคัญแค่ไหน ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามและยังต้องใส่ใจในอาหารมื้อเช้าของคุณให้มากขึ้นอีก ด้วย คุณควรเลือกใช้ข้าวโอ๊ต, ไข่, ไข่เจียว, สมูทตี้ผลไม้หรือแพนเค้ก ผักหรือผลไม้สีเขียว ไม่ว่าจะเป็นสมูทตี้สีเขียว, สลัดผักสดหรือผักดิบ เพราะสีเขียวมีคลอโรฟิลและแมกนีเซียมซึ่งจะช่วยบรรเทาความตึงเครียดและความ วิตกกังวลของคุณอีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว คุณก็ควรจะทานอาหารจำพวกนี้ทุกเช้าเพื่อลด ความวิตกกังวลของคุณ

4. ลดการดื่มกาเฟอีน
เพื่อ ที่จะกำจัดความวิตกกังวลในตอนเช้าไปจากชีวิตของคุณ ควรลดการบริโภคกาเฟอีนของคุณซะ การบริโภค เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนสูงจะเพิ่มความดันโลหิตและระดับความเครียด เพราะกาเฟอีน มีฤทธิ์เป็นสารกระตุ้น และเพิ่มการหลั่ง ของกรดในกระเพาะ และฮอร์โมนไทรอยด์ มีผลในทางลบต่อร่างกายมากมาย เพิ่มความวิตกกังวล ความเครียดให้การทำงานอีกด้วย ดังนั้น คุณจึงต้องลดการดื่มกาเฟอีนให้น้อยลง แค่นี้ชีวิตก็จะดีขึ้น

5. ลดการกินน้ำตาล
รู้ หรือไม่ว่าหลายคนเข้าใจผิดมาตลอดว่า ของหวานทำให้อารมณ์ดี จริงๆ แล้ว เราควรลดการกินน้ำตาล หรือของหวานจัด เพราะมันจะช่วยขจัดความกังวลในตอนเช้าได้ ถ้าเรากินน้ำตาลหรือของหวานจัด เมื่อน้ำตาลในเลือดสูง เกินไป จะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยและง่วงนอน น้ำตาลสามารถทำให้อะดรีนาลีน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอะดรีนาลีน เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งของร่างกายจะหลั่งเมื่อรู้สึกอันตรายหรือตกอยู่ในความ เครียด ฮอร์โมนชนิดนี้เพิ่มความดัน เลือดและทำให้ใจเต้นเร็ว ทำให้เพิ่มความวิตกกังวลและความเครียดให้กับการทำงานของร่างกาย

6. ดื่มน้ำมะนาวตอนเช้า
หาก คุณไม่ต้องการที่จะดื่มสมูทตี้หรือชาเขียวในตอนเช้า เราขอแนะนำให้คุณเลือกดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำมะนาว ดื่ม น้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน และแก้วแรกที่ควรจะดื่มในตอนเช้า ขอแนะนำให้คุณลองดื่มน้ำมะนาว ไม่เพียงแต่น้ำ มะนาวจะบรรเทาความวิตกกังวลของคุณ แต่มันยังจะเร่งการเผาผลาญของคุณ ช่วยย่อยอาหารเช้าของคุณดีขึ้น, เพิ่มระดับพลังงานของคุณ ปรับปรุงสุขภาพผิวของคุณและอื่นๆ อีกมากมาย

อย่า ปล่อยให้ความวิตกกังวลทำลายเช้าแรกของสัปดาห์ในวันทำงาน หาวิธีที่ดีที่สุดที่จะต่อสู้กับความกังวลโดย 6 วิธีที่เราได้นำมาบอก! หวังว่าจันทร์นี้จะเป็นการเริ่มต้นสัปดาห์ที่ดีของทุกคน

อันตรายจาก ‘ผงชูรส’

ผงชูรสไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการแต่
"ผงชูรส มีประโยชน์เพียงทำให้อาการมีรสชาติ
 โดยรวมดีขึ้น ต้องใส่ในปริมาณเหมาะสม"
 


อันตรายของผงชูรสถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1.พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม กล่าวคือผงชูรสมีโซเดียมที่มาจากโซดาไฟเป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นเดียวกับเกลือแกง แต่อันตรายมากกว่า ซึ่งมีพิษภัยอันตรายดังนี้คือ
- ทำให้ภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ลดลง
- ทำให้เกิดการคลั่งในสมองเด็ก ซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้นจะเป็นคนปัญญาอ่อน ทำให้เด็กทารกเกิดอาการชักโคม่า ซึ่งบางครั้งแพทย์ไม่รู้สาเหตุ อาจเป็นภัยต่อหญิงมีครรภ์และทารกแรกเกิดด้วย
- เพิ่มอันตรายต่อผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ อาทิ เช่น โรคไต ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจเป็นต้น
2.พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัวผงชูรสแท้ ส่งผลดังนี้
- ทำให้เกิดอาการแพ้ผงชูรส ซึ่งจะมีอาการชา และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก เป็นต้น
- ทำลายสมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลง
- ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอด - ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย ทำให้โลหิตจางได้
- ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 6 แก้โรคแพ้ผงชูรสได้
- เกิดโรคมะเร็ง และทำลายระบบประสาทส่วนกลางทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น
- เปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ผิดปกติ ปากแหว่ง หูแหว่ง และจมูกวิ่น แขนขาพิการ เป็นต้น

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แนะนำ...5 ท่าโยคะ แก้อาการปวดหลัง

แนะนำ...5 ท่าโยคะ แก้อาการปวดหลัง


แนะนำ...5 ท่าโยคะ แก้อาการปวดหลัง

ใครที่มีอาการปวดหลัง นอกจากจะรักษาด้วยวิธีพบแพทย์แล้วนั้น ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้ นั่นก็คือ การโยคะ      
       โยคะ คือการฝึก ร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ร่างกายเกิดความสมดุลอีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดต่างๆ ได้อีกด้วยเอาเป็นว่าใครที่ชอบปวดหลัง นั่งก็ปวด ยืนก็ปวด แม้แต่นอนก็ยังปวด ตามมาดูท่าโยคะที่ช่วยลดอาการเหล่านี้กันดีกว่า
1.Downward Dog
Downward Dog
       วิธีทำ เริ่มจากนั่งคุกเข่า ให้เข่าอยู่ระดับเดียวกับสะโพก วางมือห่างบริเวณหัวไหล่เล็กน้อย จากนั้นให้ยกตัวขึ้น ส้นเท้าอยู่บนพื้นหรือจะยกส้นเท้าขึ้นเล็กน้อยก็ได้เช่นกัน ยกก้นให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหยียดเข่าให้ตรง ค้างไว้ประมาณ 3 นาที ท่านี้จะช่วยลดอาการปวดหลังได้ดีทีเดียว
2.Bridge Pose      
Bridge Pose
       วิธีทำ เริ่มจากนอนหงายลงบนพื้น วางแขนทั้งสองไว้ด้านข้างของลำตัว ชันเข่าขึ้น แยกเท้าออกจากกันเล็กน้อย จากนั้นวางแขนแนบลำตัว เกร็งสะโพกแล้วยกขึ้น ค้างไว้ประมาณ 10 วินาที (หายใจเข้าออกช้าๆ ประมาณ 5 ครั้ง) แล้วกลับสู่ท่าเริ่มต้น ท่านี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง
3.Bow Pose   
Bow Pose
  
       วิธีทำ นอนคว่ำลงบนพื้น แยกเท้าออกจากกันเล็กน้อย ก้มหน้าผากลงจรดกับพื้น จากนั้นงอเข่าใช้มือทั้งสองข้างจับข้อเท้าทั้งสองข้าง ยกตัวและศีรษะขึ้น ยกขึ้นให้สูงเท่าที่จะทำได้ บีบขาให้ชิดติดกัน ทำค้างไว้ประมาณ 30 วินาที ท่านี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง
4.Cobra
Cobra
       วิธีทำ เริ่มจากนอนคว่ำหน้าลงบนพื้นหรือเสื่อโยคะ วางฝ่ามือทั้งสองข้างไว้ข้างอก ให้ปลายเท้าทั้งสองข้างวางราบลงบนพื้น จากนั้นหายใจเข้า และหายใจออกให้ดันลำตัวขึ้น ยืดแขนตรง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พร้อมเปิดไหล่ออกให้กว้าง ค้างอยู่ในท่านี้ 30 วินาที หรือให้นานกว่านั้น ซึ่งท่านี้สามารถช่วยลดอาการปวดหลังได้
5.Warrior I
Warrior I
       วิธีทำ ยืนตัวตรง ปลายเท้าชิดติดกัน หายใจเข้าออกช้าๆ ก้าวขาใดขาหนึ่งไปด้านหลัง ให้กว้างพอประมาณ จากนั้นยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ ให้แขนตรงแนบชิดหู จากนั้นงอเข่าอีกด้าน บิดเท้าที่อยู่ด้านหลังเฉียงไปด้านหน้าประมาณ 45 องศา กดน้ำหนักลงไปทางด้านหน้าของลำตัวโดยที่ลำตัวตั้งตรง ค้างไว้และสลับทำอีกด้าน ท่านี้จะช่วยบรรเทาอาการปวดต่างๆ อาทิ ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ ฯลฯ